Water Fasting หรือการอดอาหารโดยดื่มแค่น้ำเท่านั้น เป็นหนึ่งในเทรนด์สุขภาพที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน หลายคนเชื่อว่ามันช่วยลดน้ำหนัก ฟื้นฟูสุขภาพ และปรับสมดุลในร่างกายได้ แต่การทำ Water Fasting ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเหมาะสำหรับทุกคน หากทำผิดวิธีอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Water Fasting อย่างละเอียด ตั้งแต่ข้อดี ข้อเสีย ไปจนถึงคำแนะนำเพื่อความปลอดภัย
Water Fasting คืออะไร?
Water Fasting คือการงดอาหารทุกชนิดและดื่มเพียงน้ำเปล่าตลอดระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก:
- ระยะสั้น (Short-Term Fasting): ทำภายใน 24-48 ชั่วโมง
- ระยะยาว (Long-Term Fasting): ทำต่อเนื่อง 3-7 วัน
Water Fasting จัดเป็นการอดอาหารขั้นสุดของ Intermittent Fasting ที่หลายคนคุ้นเคย
ประโยชน์ของ Water Fasting
- ลดน้ำหนัก: การงดอาหารช่วยลดปริมาณแคลอรีที่เข้าสู่ร่างกาย
- ปรับปรุงการเผาผลาญ: ร่างกายจะเปลี่ยนไปใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงาน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลินดีขึ้น
- ลดความดันโลหิต: หลายคนพบว่าความดันโลหิตลดลงเมื่อทำ Water Fasting
- ช่วยกระตุ้นสมอง: การอดอาหารช่วยเพิ่มการผลิตสาร BDNF (Brain-Derived Neurotrophic Factor) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์สมอง
5. กระตุ้นกระบวนการ Autophagy: ร่างกายจะย่อยเซลล์เก่าและเสียหายเพื่อนำไปสร้างใหม่
ขอโฆษณาหน่อยนะประกันสุขภาพ My Care Smart ดีอย่างไร
- วงเงินรักษาสูงสุด 7 แสนบาท
- ไม่บอกเลิกสัญญาแม้จะเคลมเยอะ
- ค่าใช้จ่ายในการรักษา จ่ายตามจริง
- ค่าเบี้ยคงที่ตามช่วงอายุที่กำหนด
- ไม่เคลมมีเงินคืนสูงสุด 10%
วิธีเตรียมตัวก่อนทำ Water Fasting
- เริ่มต้นด้วย Intermittent Fasting: ฝึกอดอาหารแบบ 16:8 หรือ 20:4 ก่อน เพื่อให้ร่างกายปรับตัว
- เติมเกลือแร่: ระหว่าง Water Fasting ควรรับประทานเกลือแร่ เช่น โซเดียม แมกนีเซียม หรือโพแทสเซียม เพื่อป้องกันการขาดเกลือแร่
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไปจนทำให้เกลือแร่เจือจาง
- เฝ้าสังเกตอาการ: หากมีอาการวิงเวียน ใจสั่น อ่อนเพลีย หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ให้หยุดทันที
วิธีทำ Water Fasting อย่างปลอดภัย
- กำหนดระยะเวลา: เริ่มต้นด้วยระยะสั้น เช่น 24 ชั่วโมง หรือ 48 ชั่วโมง ก่อนขยายเวลา
- เลือกดื่มน้ำชนิดไม่มีแคลอรี: เช่น น้ำเปล่า ชา หรือกาแฟดำ
- เลี่ยงการออกกำลังกายหนัก: การออกกำลังกายหนักอาจทำให้กล้ามเนื้อสลายตัวเพิ่มขึ้น
- สังเกตอาการตัวเอง: หมั่นตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และฟังสัญญาณจากร่างกาย
การฟื้นตัวหลังจาก Water Fasting
- เริ่มจากอาหารเบา ๆ: เช่น ซุป ผักต้ม หรือผลไม้
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง: เช่น เนื้อแดง หรืออาหารทะเล
- เติมคาร์โบไฮเดรตอย่างค่อยเป็นค่อยไป: เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง หรือมันฝรั่ง
อันตรายและข้อควรระวังของ Water Fasting
- ภูมิคุ้มกันลดลง: การอดอาหารทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวลดลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- เสียสมดุลเกลือแร่: การดื่มน้ำปริมาณมากแต่ไม่เติมเกลือแร่ อาจทำให้ร่างกายขาดโซเดียม โพแทสเซียม หรือแมกนีเซียม ซึ่งอาจส่งผลต่อหัวใจและระบบประสาท
- กรดยูริกเพิ่มขึ้น: การเผาผลาญไขมันและโปรตีนสะสมในร่างกายทำให้กรดยูริกเพิ่มขึ้น อาจกระตุ้นให้เกิดโรคเกาต์
- ระดับไขมัน LDL สูงขึ้น: ในบางคน ระดับคอเลสเตอรอลอาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากกระบวนการเผาผลาญไขมัน
- สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ: หากอดอาหารนานเกินไป ร่างกายจะเริ่มสลายกล้ามเนื้อเพื่อใช้เป็นพลังงาน
- ความดันโลหิตต่ำ: การอดอาหารอาจทำให้รู้สึกวิงเวียนและหมดสติได้
ใครบ้างที่ไม่ควรทำ Water Fasting?
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
- ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหาร
- หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ที่มีปัญหาการกินผิดปกติ เช่น Anorexia หรือ Bulimia
- เด็กและวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 16 ปี
หากคุณอยู่ในกลุ่มเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มทำ Water Fasting