รู้จัก Water Fasting วิธีการทำให้ได้ประโยชน์ และข้อควรระวังที่คุณต้องรู้

Water Fasting

Water Fasting หรือการอดอาหารโดยดื่มแค่น้ำเท่านั้น เป็นหนึ่งในเทรนด์สุขภาพที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน หลายคนเชื่อว่ามันช่วยลดน้ำหนัก ฟื้นฟูสุขภาพ และปรับสมดุลในร่างกายได้ แต่การทำ Water Fasting ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือเหมาะสำหรับทุกคน หากทำผิดวิธีอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Water Fasting อย่างละเอียด ตั้งแต่ข้อดี ข้อเสีย ไปจนถึงคำแนะนำเพื่อความปลอดภัย

Water Fasting คืออะไร?

Drink water

Water Fasting คือการงดอาหารทุกชนิดและดื่มเพียงน้ำเปล่าตลอดระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก:

  1. ระยะสั้น (Short-Term Fasting): ทำภายใน 24-48 ชั่วโมง
  2. ระยะยาว (Long-Term Fasting): ทำต่อเนื่อง 3-7 วัน

Water Fasting จัดเป็นการอดอาหารขั้นสุดของ Intermittent Fasting ที่หลายคนคุ้นเคย

ประโยชน์ของ Water Fasting

  1. ลดน้ำหนัก: การงดอาหารช่วยลดปริมาณแคลอรีที่เข้าสู่ร่างกาย
  2. ปรับปรุงการเผาผลาญ: ร่างกายจะเปลี่ยนไปใช้ไขมันสะสมเป็นพลังงาน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลินดีขึ้น
  3. ลดความดันโลหิต: หลายคนพบว่าความดันโลหิตลดลงเมื่อทำ Water Fasting
  4. ช่วยกระตุ้นสมอง: การอดอาหารช่วยเพิ่มการผลิตสาร BDNF (Brain-Derived Neurotrophic Factor) ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์สมอง

5. กระตุ้นกระบวนการ Autophagy: ร่างกายจะย่อยเซลล์เก่าและเสียหายเพื่อนำไปสร้างใหม่

ขอโฆษณาหน่อยนะ

ประกันสุขภาพ My Care Smart ดีอย่างไร

  • วงเงินรักษาสูงสุด 7 แสนบาท
  • ไม่บอกเลิกสัญญาแม้จะเคลมเยอะ
  • ค่าใช้จ่ายในการรักษา จ่ายตามจริง
  • ค่าเบี้ยคงที่ตามช่วงอายุที่กำหนด
  • ไม่เคลมมีเงินคืนสูงสุด 10%
สำหรับท่านใดที่สนใจอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ประกันสุขภาพ My care Smart

วิธีเตรียมตัวก่อนทำ Water Fasting

  1. เริ่มต้นด้วย Intermittent Fasting: ฝึกอดอาหารแบบ 16:8 หรือ 20:4 ก่อน เพื่อให้ร่างกายปรับตัว
  2. เติมเกลือแร่: ระหว่าง Water Fasting ควรรับประทานเกลือแร่ เช่น โซเดียม แมกนีเซียม หรือโพแทสเซียม เพื่อป้องกันการขาดเกลือแร่
  3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตร แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไปจนทำให้เกลือแร่เจือจาง
  4. เฝ้าสังเกตอาการ: หากมีอาการวิงเวียน ใจสั่น อ่อนเพลีย หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ ให้หยุดทันที
happy woman holding water glass female drinking pure water bed home healthy

วิธีทำ Water Fasting อย่างปลอดภัย

  • กำหนดระยะเวลา: เริ่มต้นด้วยระยะสั้น เช่น 24 ชั่วโมง หรือ 48 ชั่วโมง ก่อนขยายเวลา
  • เลือกดื่มน้ำชนิดไม่มีแคลอรี: เช่น น้ำเปล่า ชา หรือกาแฟดำ
  • เลี่ยงการออกกำลังกายหนัก: การออกกำลังกายหนักอาจทำให้กล้ามเนื้อสลายตัวเพิ่มขึ้น
  • สังเกตอาการตัวเอง: หมั่นตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และฟังสัญญาณจากร่างกาย

การฟื้นตัวหลังจาก Water Fasting

  • เริ่มจากอาหารเบา ๆ: เช่น ซุป ผักต้ม หรือผลไม้
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง: เช่น เนื้อแดง หรืออาหารทะเล
  • เติมคาร์โบไฮเดรตอย่างค่อยเป็นค่อยไป: เลือกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง หรือมันฝรั่ง

อันตรายและข้อควรระวังของ Water Fasting

  1. ภูมิคุ้มกันลดลง: การอดอาหารทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวลดลง ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  2. เสียสมดุลเกลือแร่: การดื่มน้ำปริมาณมากแต่ไม่เติมเกลือแร่ อาจทำให้ร่างกายขาดโซเดียม โพแทสเซียม หรือแมกนีเซียม ซึ่งอาจส่งผลต่อหัวใจและระบบประสาท
  3. กรดยูริกเพิ่มขึ้น: การเผาผลาญไขมันและโปรตีนสะสมในร่างกายทำให้กรดยูริกเพิ่มขึ้น อาจกระตุ้นให้เกิดโรคเกาต์
  4. ระดับไขมัน LDL สูงขึ้น: ในบางคน ระดับคอเลสเตอรอลอาจเพิ่มขึ้นเนื่องจากกระบวนการเผาผลาญไขมัน
  5. สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ: หากอดอาหารนานเกินไป ร่างกายจะเริ่มสลายกล้ามเนื้อเพื่อใช้เป็นพลังงาน
  6. ความดันโลหิตต่ำ: การอดอาหารอาจทำให้รู้สึกวิงเวียนและหมดสติได้

ใครบ้างที่ไม่ควรทำ Water Fasting?

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
  • ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหาร
  • หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีปัญหาการกินผิดปกติ เช่น Anorexia หรือ Bulimia
  • เด็กและวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 16 ปี

หากคุณอยู่ในกลุ่มเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มทำ Water Fasting

แชร์บทความนี้